เชื่อหรือไม่ว่าหลายองค์กรมีปัญหาเรื่อง “ชนชั้น” ในองค์กรเป็นเงาอยู่เบื้องหลัง บางที่ก็จะมีความเด่นชัดและกลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว แต่หลายที่อาจจะไม่รู้ตัวหรือรู้ในมุมที่ผู้บริหาร พนักงานทั่วไปมองเห็นเพียงว่า “ทัศนคติ” ของพนักงานนั้น ๆ ที่ไม่ดี พูดถึงในมุมที่ชัดเจนก่อน ยกตัวอย่างระบบราชการที่มี , พนักงานราชการ, ลูกจ้างประจำ, ลูกจ้างชั่วคราว เป็นต้น เบื้องต้นหากเข้าใจแรงจูงใจหรือแรงกดดันภายในใจ จะรู้ว่ามีความรู้สึกถึงชนชั้นชัดเจน ตั้งแต่ชื่อระดับ ข้าราชการ กับ ลูกจ้างแล้ว คงไม่มีประโยชน์จะพูดถึงเรื่องของราชการ แต่สำหรับเอกชนอาจเป็นไปได้ที่ผู้นำหรือเจ้าของกิจการ มองแค่ทัศนคติส่วนบุคคลเหมือนที่กล่าวข้างต้น

ทัศนคติก็อาจมีส่วนแต่ที่มากกว่านั้นคือเรื่องการสร้างสัมพันธ์การจัดวางโครงสร้าง แม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ อย่างตำแหน่งของโต๊ะทำงาน ทั้งนี้เมื่อพูดว่าชนชั้นหลายคนอาจคิดไปในมุมว่า คนที่มีตำแหน่ง ระดับงานสูงกว่าจะเป็นฝ่ายที่มีความอคติ ซึ่งไม่เสมอไป

หลายแห่งปัญหาเกิดจากเรื่องที่มองข้าม ดังเช่น สิ่งแวดล้อมของการทำงาน ที่ทำให้เกิดภาวะ “คบแต่พวกเดียวกัน” จึงเสมือนเป็น “กลุ่มอำนาจ” ที่เป็นอำนาจทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน พนักงานส่วนอื่น นอกกลุ่มก็ยากจะเข้าถึงประกอบกับถ้ามีบางคนในกลุ่ม อคติ ตรงนี้ก็เลยยิ่งทำให้ไปกันใหญ่ ทั้งที่ไม่ได้อคติหรือทัศนคติแย่ทุกคน แต่เมื่อเกิดความเป็นกลุ่มก้อนที่ไม่ใช่ทีม ทำให้มีภาวะต่อต้านกันไปมาได้ไม่ยากนัก คล้ายดังอันธพาลที่เวลามีพวกมากจะกล้าหาญ แต่โดดเดี่ยวเมื่อไหร่ก็หงอยไปตามระเบียบ

ไม่ได้จะบอกว่ารูปแบบในที่ทำงานเป็นการรวมกลุ่มเพื่อไปหาเรื่อง เพียงแต่การเกาะกลุ่มนี้อาจสร้างชนชั้น การแบ่งแยกได้ และพื้นฐานมนุษย์ส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบที่จะแปลกประหลาดหรืออยู่นอกกลุ่ม เหตุนี้ทำให้คนที่อยู่ในกลุ่มมีอะไรก็ต้องคล้อยตามก่อน เพราะไม่อยากแปลกจากกลุ่มนั่นเอง

ระดับการทำงานที่ได้บอกว่าไม่เกี่ยวกันในแง่สูงกว่า หรือต่ำกว่า ก็มีตัวอย่าง เช่น หากลูกน้องรวมกลุ่มกันต่อต้านหัวหน้า ที่ไม่ใช่เป็นกรณีไม่พอใจกันในเชิงส่วนตัวแต่เป็นในลักษณะ ลูกน้องรู้สึกไม่ยุติธรรมแล้วทำอะไรไม่ได้ หรือเห็นว่าหัวหน้าเหล่านั้นมีความอภิสิทธิ์เหนือกว่าตน เช่นนี้หัวหน้าจะเป็นอีกชนชั้น ที่จะไม่รับเข้าพวก

แต่โดยทั่วไปจะเป็นในลักษณะที่มีเรื่องของอำนาจบางอย่างข้องเกี่ยว เช่น หัวหน้างานคนหนึ่งเป็นคนสนิทกับเจ้านายใหญ่ เหล่าหัวหน้าที่เข้ากันดีกับหัวหน้าคนนี้ ก็จะเป็นกลุ่มหนึ่งซึ่งดูมีอำนาจมากกว่าหัวหน้างานที่อยู่นอกกลุ่ม ทั้งที่โดยตำแหน่งแล้ว หัวหน้างานเหมือนกัน..

อีกประเภทก็คือรูปแบบหรือจำนวนพนักงาน ที่ทำให้ประสานกันไม่ได้ เช่น เคยเจอบริษัทหนึ่ง พนักงานส่วนใหญ่ล้วนเป็น สถาปนิก มีบางส่วนที่เป็นโฟร์แมน หรือคนงาน ภาพรวมในองค์กร ย่อมเป็นสถาปนิก ที่ดูมีสิทธิมีเสียงมากกว่าในบริษัท และบริษัทนี้ไม่ได้เน้นไปในทางผลิต แต่เน้นไปทางออกแบบ พนักงานส่วนปฏิบัติการ จึงเหมือนชนชั้นที่ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดในการทำกิจกรรมใด ๆ ร่วมกัน และกับอีกแห่ง บริษัทที่ทำงาน มีสถาปนิก 2-3 คน และคนงานหลายสิบ ที่นี่ สถาปนิก กับคนงานเป็นอันหนึ่งเดียวกันได้อย่างดี สิ่งนี้เป็นเพราะอะไร เชื่อว่า ท่านคงพอนึกภาพออก เราทราบกันดีว่าการทำงานทุกองค์กร จะเป็นพนักงานระดับไหนสุดท้ายล้วนต้องมีการประสานงาน ทำงานร่วมกันเรื่องที่กล่าวไปจึงเป็นต้นตอหนึ่งของปัญหาการทำงานที่ขาดประสิทธิภาพ

แนวทางขจัดปัญหา นอกจากการแก้ปัญหาด้วย การดูโครงสร้างทั้งการทำงาน, การร่วมงานกัน, โครงสร้างการสื่อสาร, แม้แต่จัดสถานที่ทำงานใหม่ ที่ไม่ใช่แค่มองเรื่องของงานเป็นหลัก แต่หากมองเรื่องความสัมพันธ์ตามมาด้วยแล้ว หรืออาจจะใช้วิธี เช่นการมีกิจกรรม outing team building หรือ หลักสูตรเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันก็พอจะช่วย ลด ขจัดปัญหาความสัมพันธ์ได้

หรือไม่เช่นนั้นก็แยกกันให้ได้ไปเลย เช่น ในโรงพยาบาล หมอก็มักที่จะอยู่ส่วนหมอ หมอจะเหมือนมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับตัวเองเสมอ ๆ ไม่ค่อยข้องเกี่ยวกับส่วนอื่น ยกเว้นผู้ช่วยฟังดูไม่ดีนักเหมือนอภิสิทธิ์ชนแต่มันคือความจริง และมันช่วยให้หมอไม่ได้มีปัญหาการทำงานในมุมนี้กับพนักงานส่วนอื่น และส่วนอื่นก็ไม่มีปัญหาการทำงานกับหมอด้วยเช่นกัน..

 

ความคิดเห็นของคุณ

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่