เก้าอี้อันดับ 1 “หัวเว่ย” ต้องสั่นสะเทือน
แอดมินเชื่อว่าเมื่อช่วงประมาณสัปดาห์ที่แล้วทุกคนคงจะได้ยินข่าวช็อควงการของบริษัทโทรศัพท์มือถือรายหนึ่งที่มีข่าวดังไปทั่ว จนใคร ๆ ไม่รู้ข่าวนี้คงจะตกข่าวอย่างมาก และจะเป็นข่าวไหนไปไม่ได้เลย ก็คือ การที่อยู่ ๆ ก็มีคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้เอกชนสหรัฐฯ ยุติการทำธุรกิจกับบริษัทต่างชาติที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ อันนำไปสู่การสิ้นสุดความเป็นพันธมิตร และ การทำงาน ร่วมกันระหว่าง Google และ Huawei หัวเว่ย นั้น อาจทำให้เป้าหมายของ Huawei หัวเว่ย ในการที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทมือถือที่ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ของโลกนั้นจะต้องห่างไกลออกไปอีก
สำหรับข่าวนี้นั้นก็ทำให้เหล่าบรรดาสาวกมือถือ Huawei หัวเว่ย ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเกิดข้อกังวลใจและเกิดความสั่นไหวเป็นอย่างมาก


หลังจากที่ บริษัทวิจัย IDC ได้รายงานยอดจำหน่ายมือถือทั่วโลกสำหรับไตรมาสแรกที่ผ่านมา ซึ่งวิจัยดังกล่าวปรากฏว่า Huawei หัวเว่ย สามารถที่จะทำยอดขายและมีความเติบโตได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่คู่แข่งของ Huawei หัวเว่ย อีก 2 บริษัท อย่างซัมซุงและแอปเปิลนั้น กลับทำยอดขายลดลงมากเมื่อเทียบกับปีก่อน
สืบเนื่องด้วยความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นอย่างจริงจังและต่อเนื่อง แล้ว Huawei หัวเว่ย เองนั้นได้มีการพัฒนาสินค้า จนสามารถติดตลาดได้ จึงทำให้ Huawei หัวเว่ยพุ่งทะยานขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของวงการตลาดมือถือโลก ด้วยส่วนแบ่งการตลาดเพียง 19% ขยับเข้าใกล้ซัมซุงที่ครองส่วนแบ่งอันดับ 1 อยู่ที่ 23.1% ส่วนแอปเปิลที่เคยเป็นอันดับที่ 2 ก็ได้หล่นลงไปอยู่อันดับที่ 3 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 11.7% เป็นต้น
ความฝันของ Huawei หัวเว่ย กำลังดำเนินไปด้วยดีเพราะ Huawei ทำให้เป้าหมายที่จะครองส่วนแบ่งตลาดมือถืออันดับ 1 ของโลกในปี 2563 ขยับเข้าใกล้กว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยคาดกันว่า Huawei หัวเว่ยน่าจะบรรลุเป้าหมายได้ภายในสิ้นปี 2562

แต่ก็นั่นแหละนะคะอะไรบนโลกนี้ก็ไม่มีความไม่แน่นอน และเมื่อความแน่นอนคือความไม่แน่นอน การยุติการทำธุรกิจกับ Huawei หัวเว่ย และให้มีผลทันทีของกูเกิล ที่ผ่านมา ก็ได้ทำให้ความหวังที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นอันดับ 1 มีความยากเย็นและห่างไกลออกไปอีกอย่างแน่นอน
หลังจากที่กูเกิลได้มีการประกาศดังกล่าว และจะส่งผลกระทบกับ Huawei หัวเว่ย ทำให้มือถือของ Huawei หัวเว่ย ซึ่งทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ จะไม่สามารถใช้บริการของกูเกิลที่มี License ไลเซนส์ ได้ ไม่ว่าจะเป็น Google Map, Youtube รวมไปถึงการอัปเดต Google Play Store กูเกิล เพลย์สโตร์ ไปจนถึงระบบความปลอดภัยเวอร์ชันใหม่ ๆ อีกด้วย

ถึงแม้ว่า Huawei หัวเว่ย จะยังสามารถใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งเป็นระบบเปิดได้อยู่อย่างเป็นปกติแต่บริการอื่น ๆ ที่เป็นสิทธิของกูเกิลและเป็นที่ต้องการของลูกค้านั้น จะไม่สามารถใช้ได้
Google กูเกิล ซึ่งเชื่อว่าไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องออกมาแถลงว่า “ต้องปฏิบัติตามคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีและกำลังประเมินผลที่จะตามมา โดยบริการบน Google Play Store กูเกิลเพลย์และระบบความปลอดภัยบนกูเกิลเพลย์ จะยังคงทำงานได้ต่อบนมือถือของ Huawei หัวเว่ย ที่มีอยู่ในตลาดทั้งหมด

คำแถลงการณ์ดังกล่าวนั้นชี้ชัดเจนว่า กูเกิลเลือกที่จะไม่พูดถึงมือถือ Huawei หัวเว่ย ในรุ่นใหม่ที่จะออกสู่ตลาดหลังจากนี้ รวมถึงบริการอื่น ๆ บนมือถือรุ่นปัจจุบันที่มีอยู่ในท้องตลาด ว่าจะใช้ได้หรือใช้ไม่ได้
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติ เชื่อว่ากูเกิลจำเป็นที่จะต้องดูแลฐานลูกค้าของตนที่ใช้มือถือ Huawei หัวเว่ย ด้วย และนั่นทำให้ในที่สุดกระทรวงพาณิชย์ สหรัฐฯ ได้ยืดเวลาให้ Huawei หัวเว่ยและกูเกิลได้เตรียมความพร้อม ลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับลูกค้า โดยการขยายเวลาให้อีก 90 วัน เพื่อหาแนวทางและมาตรการรองรับลูกค้าของหัวเว่ยก่อนที่รัฐบาลจะประการแบนจริง ๆ อีกครั้ง และ Huawei หัวเว่ย ได้ออกมาแย้งแล้วว่า การยืดเวลาออกไปไม่ได้ช่วยอะไรเลย Huawei หัวเว่ยเองก็ได้เตรียมความพร้อมไว้อยู่แล้ว
หัวเว่ย ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักและสำคัญของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ พึ่งพาบริการของกูเกิลอยู่ค่อนข้างมาก โดย 49% ของยอดขายมือถือหัวเว่ย เป็นการขายในตลาดต่างประเทศ ขณะที่มือถือ Huawei หัวเว่ย ที่ขายในจีน ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ แต่ไม่มีการติดตั้งแอปพลิเคชันอื่น ๆ ของกูเกิลลงไปเลย เพราะรัฐบาลจีนไม่อนุญาตให้ใช้


ดังนั้นเมื่อลูกค้าของมือถือหัวเว่ยที่นำออกขายทั่วโลก ไม่สามารถใช้บริการยอดนิยมของกูเกิลได้ โอกาสในการที่จะมียอดขายแซงซัมซุงขึ้นเป็นอันดับที่ 1 นั้นจึงเหมือนจะยิ่งยากและอาจจะไม่ความหวังเหลืออีกเลยก็ได้
อีกอย่างนอกจากกูเกิลแล้ว ยังมีกระแสข่าวแว่ว ๆ ตามออกมาว่าไมโครซอฟท์ รวมทั้ง 2 ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ ทั้งควอลคอมม์ และอินเทล ก็กำลังจะมีการยุติการทำธุรกิจกับ Huawei หัวเว่ย แบบเงียบ ๆ เช่นกัน เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งบริหารของประธานาธิบดี
ได้มีการรายงานว่า ซัพพลายเออร์สหรัฐฯ ที่ผลิตชิ้นส่วน อุปกรณ์สำหรับโทรศัพท์มือถือและเน็ตเวิร์กโทรคมนาคมให้กับ Huawei หัวเว่ยนั้น ปัจจุบันมีมากกว่า 30 ราย ซึ่งเมื่อ Huawei หัวเว่ยเจอกับวิกฤตินี้ก็จะทำให้ Huawei หัวเว่ย ต้องพลิกกลยุทธ์หันมาพึ่งพาตัวเองมากขึ้น เช่นการมีระบบปฏิบัติการ (OS) ของตัวเอง อย่างเช่นแอปเปิลที่มีไอโอเอส (iOS) รวมทั้งการผลิตชิปของตัวเอง เป็นต้น


อย่างไรก็ตามบรรดาสาวกทั้งหลายของ Huawei หัวเว่ย ก็อย่าได้ตื่นตระหนกจนเกินไปนักนะคะ ค่อย ๆ คิดหาวิธีแก้ไขหรือไม่ก็ลองดูว่าเกิดผลกระทบกับเรามากน้อยเพียงใดนะคะ และเชื่อว่า Huawei หัวเว่ยจะไม่อยู่นิ่งแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะมีแนวทางการแก้ปัญหานี้แบบไม่ต้องง้อ กูเกิลเลยก็ได้นะคะ เราก็หันมาเอาเวลาที่จะมานั่งคิดเรื่องนี้ไปพักผ่อน ท่องเที่ยว หาความสุขใส่ตัวดีกว่านะคะ

ความคิดเห็นของคุณ

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่