Burnout Syndrome โรคที่มนุษย์เงินเดือนบุกงานหนักต้องรู้!
มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ที่อยู่ในวัยทำงานต้องรู้!! เกี่ยวกับโรค Burnout Syndrome เป็นโรคทางร่างกายและจิตใจชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการทำงานหนักมากเกินไปจนหมดพลัง เพราะเสียสมดุลระหว่างเรื่องงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว (work-life balance) ทำให้เกิดอาการสมองไม่แล่น ความจำไม่ดี มีอาการนอนไม่หลับ ขาดความกระตือรือร้นในการทำงาน และรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขกับการทำงานเลย ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้เกิดโรคทางกาย เช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคทางจิต เช่น โรคประสาทเครียดและโรคซึมเศร้าตามมาได้ ต้องเสียเวลารักษาในสถานที่พยาบาลและเสียค่าใช้จ่าย
ทำงานหนักเกินไปจนเสียสมดุลชีวิต
เสียสมดุลระหว่างเรื่องงาน – ชีวิตส่วนตัว
พฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลให้ร่างกายเกิด “ความเสื่อม” เพราะมีสารอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป จนเกินความสามารถของสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายจะขจัดหมด หรือทำให้ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายลดลง เมื่อเซลล์เสื่อมจึงทำให้อวัยวะทั้งหลายทำงานมีประสิทธิภาพลดลง ในที่สุดร่างกายก็จะเสื่อมตาม ทำให้ความแก่และโรคภัยต่าง ๆ มาเยือนได้ง่ายขึ้น เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคไต โรคตับ เป็นต้น จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้เราจะเห็นคนที่ยังมีอายุน้อยแต่มีปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมาก สำหรับวันนี้แอดมิน JobCute ได้นำวิธีป้องกันตัวเองจากภาวะ Burnout Syndrome มาฝากเราไปติดตามกันเลยนะคะว่ามีอะไรบ้าง
- จัดระเบียบให้ชีวิต
จัดสรรเวลาทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวให้ลงตัว จัดลำดับความสำคัญของงานก่อน-หลัง และรับผิดชอบให้เสร็จตามกำหนด และรู้จักการแบ่งเวลาทั้งเรื่องงาน ครอบครัว เพื่อนฝูง และเวลาสำหรับการพักผ่อนส่วนตัวให้ชัดเจน เช่น เวลาทำงานหนึ่งชั่วโมง ควรใช้สมอง 45 นาที แล้วพัก 10-15 นาที หมุนเวียนทุก ๆ ชั่วโมง หรือเมื่อทำงาน 5 วันแล้ว ควรพักสัก 2 วัน ไม่ใช่ทำงานตลอดทั้ง 7 วัน
- ลดการใช้โทรศัพท์และโซเชียลมีเดีย
เมื่อถึงเวลาพักผ่อนควรงดใช้โทรศัพท์และโซเชียลมีเดียทั้งหมด แม้จะเป็นเรื่องยากมากก็ตาม ควรฝึกการแบ่งเวลาและตั้งกฎสำหรับการใช้โซเชียลมีเดียให้เหมาะสม หากกังวลอยู่กับการใช้โซเชียลมีเดียหรือเช็คอีเมลอยู่ตลอดเวลาก็จะทำให้เวลาพักผ่อนน้อยลง แถมจะทำให้เกิดความเครียดในเวลาพักผ่อนอีกด้วย
- เลือกอาหารต้านอนุมูลอิสระ
สารต้านอนุมูลอิสระสามารถสร้างได้หากรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และอาหารที่ช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระได้ดี เช่น อาหารที่ให้วิตามินซีอย่าง ฝรั่ง ส้ม มะขามป้อม ส่วนวิตามินเอและแคโรทีนอยด์มีมากในพืชผักที่มีสีเขียวเข้ม และผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม นอกจากนี้ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ ประสบความสำเร็จในการสกัดเอ็นไซม์ “เอสโอดี” (SOD) จากพืชผักผลไม้ 5 สี กว่า 120 ชนิด ที่ให้ประสิทธิภาพสูงในการเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะเป็นอีกตัวช่วยในการย้อนวัยเซลล์ในร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรง
การขยันทำงานเป็นเรื่องดี แต่เราต้องไม่ลืมว่า “งาน” ไม่ได้เป็นทุกอย่างของชีวิต หากต้องทำงานหนักจนสุขภาพเสื่อมโทรม ทำให้ต้องใช้เงินทั้งหมดที่หามาได้ไปกับการรักษาตัวเองเมื่อล้มป่วยในสถานพยาบาล คงไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนปรารถนา ดังนั้น เมื่อทำงานอย่างเต็มที่แล้วอย่าลืมพักผ่อนและให้รางวัลชีวิตแก่ตนเองด้วย การออกไปท่องเที่ยว ล่องเรือสำราญ หรือไปแคมป์ปิ้งกับเพื่อน ๆ และครอบครัว เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการรักษาต้นทุนชีวิตของเรานั่นเอง และเมื่อสุขภาพกายแข็งแรงสมองปลอดโปร่ง ก็จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นอย่างแน่นอน